ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของเค้ก
จากการสำรวจข้อมูลทางประวัติศาสตร์แล้วพบว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับต้นกำเนิด
ของธรรมเนียมการใช้เค้กเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการฉลอง วันเกิดนั้นมี
ด้วยกันหลากหลายทฤษฎี บางคนเชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ในขณะที่บางคนเชื่อว่าเริ่มขึ้นในยุคกลาง (middle Ages)
ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อาหารเชื่อว่า เค้กวันเกิดมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัย
โบราณกาลแล้ว เนื่องจากคนสมัยก่อนชอบทำขนมอบจำพวกขนมเค้กและขนมปัง
เพื่อใช้บูชาในงาน พิธีกรรมทางศาสนา งานแต่งงาน งานศพ รวมถึงงานวันเกิดด้วย
ในเวลาต่อมา ชาวเมืองเบียร์[เยอรมัน]ก็เลยได้ไอเดียใหม่ๆ ทำเค้กเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่เด็กๆ
และจากนั้นมา ธรรมเนียมเช่นนี้ก็ถูกปฏิบัติสืบทอดต่อๆ กันมา จวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ส่วนผสม
- ไข่ไก่ขนาดใหญ่ 3 ฟอง แยกไข่แดง-ไข่ขาว
- น้ำตาลทราย 1 1/3 ถ้วย (แบ่งเป็นสองส่วน 1 ถ้วย + 1/3 ถ้วย)
- ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
- แป้งสาลีเอนกประสงค์ all-purpose flour 200 กรัม
- น้ำมันคาโนล่า 1/3 ถ้วย
- นมสดจืด 3/4ถ้วย
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- วานิลา 1 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำ
1. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ และน้ำตาลทราย 1 ถ้วย รวมกัน พักไว้ก่อน
2. แยกไข่แดงและไข่ขาวไว้ เอาไข่ขาวใส่อ่างผสมใบขนาดกลาง ๆ ไว้ ส่วนไข่แดง ให้ผสม น้ำมัน นมสด วานิลาคนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันพักไว้ก่อน
3. เทส่วนผสมไข่แดง(ส่วนผสมของเหลว) ลงในส่วนผสมแป้ง(ส่วนผสมของแห้ง) คนด้วยตะกร้อมือให้ส่วนผสมเข้ากันดี คนส่วนผสมแป้งและส่วนผสมของเหลวให้เข้ากัน ส่วนผสมที่ได้จะข้นเล็กน้อย พักไว้ก่อนแป๊บนึง
4. ตีไข่ขาวด้วยสปีดต่ำนับหนึ่งถึงห้าเร่งสปีดขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นสปีดแรงสุด (ใช้ตะกร้อไฟฟ้า) เมื่อไข่ขาวเป็นฟอง ให้ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไป ตีจนไข่ขาวขึ้นฟูตั้งยอดอ่อน
5. แบ่งไข่ขาวใส่ลงไปในอ่างแป้ง(ข้อ3) ใช้ตะกร้อมือตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน แบ่งไข่ขาวใส่ลงไปในอ่างผสมแป้ง+ไข่สองครั้ง ค่อย ๆ ตะล่อมเบา ๆ ให้ส่วนผสมเข้ากัน ใช้พายยางปาดของอ่างด้วย
6. เทส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์ 2 ใบ ใส่ลงไปประมาณครึ่งหนึ่งของพิมพ์ ก่อนนำเข้าเตาอบ กระแทกพิมพ์เบาๆสักสองทีเพื่อไล่ฟองอากาศ
7. นำเข้าเตาอบ อุณหภูมิ 350องศาฟาเรนไฮน์ ถ้าพิมพ์ขอบเตี้ย ๆ แบบอเมริกา อบ 25-30 นาที ถ้าพิมพ์แบบเมืองไทยขอบสูง ๆ ก็ อบประมาณ 45 - 50 นาที หรือดูว่าหน้าเค้กเป็นสีเหลืองสวย ก็ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มดู ถ้าไม่มีเศษแป้งติดขึ้นมาก็เป็นอันว่าสุกแล้วค่ะ
8. เวลาผ่านไปตามกำหนด ดูสีของเค้กว่าเหลืองดีหรือยัง ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มดู ถ้าไม่มีเศษแป้งติดไม้ขึ้นมาก็สุกแล้ว
9. เอาเค้กออกจากเตาอบ วางพักบนตะแกรงสัก10 นาที ให้เค้กอยู่ตัว แล้วจึงใช้มีดแซะตรงขอบคว่ำเค้กออกจากพิมพ์ พักเค้กให้เย็น ระหว่างนี้ก็ไปทำซ้อส พอเค้กเย็นแล้วก็ปัดฝุ่นทำความสะอาด ปาดส่วนเกินออกไป ลอกเอาเปลือกส่วนที่เป็นสีน้ำตาลออกไป
ผสมทุกอย่างลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ เปิดไฟกลาง ปล่อยให้ส่วนผสมเดือด คนส่วนผสมให้เข้ากันดี พอส่วนผสมข้นก็ยกลงจากเตาได้ ถ้าหากใครต้องการส่วนผสมข้นมาก ๆ สามารถเติมแป้งสาสีหรือแป้งข้าวโพดผสมน้ำใส่ลงไปได้ ถ้าหากจะเติมแป้ง ใช้แป้งประมาณ 1 ช้อนชาก็พอ จริง ๆ ส่วนผสมซ้อสก็ข้นดีแล้ว ซ้อสที่ได้ สตรอเบอร์รี่ไม่เละเกินไป ถ้าน้ำเยอะเกินไปกรองด้วยกระชอน แต่เก็บน้ำซ้อสไว้ด้วยนะคะ จะได้ราดตอนที่เราตัดเค้กเสิร์ฟอีกที ขั้นตอนต่อไป ก็แต่งเค้ก โปะครีมลงไป ครีมที่ใช้ตอนนี้เป็นวิปครีมที่ตีเอง แล้วตอนโปะทั้งก้อน จึงใช้ครีมสำเร็จ วิปครีมสำเร็จรูปขนาด 1 ปอนด์
7. นำเข้าเตาอบ อุณหภูมิ 350องศาฟาเรนไฮน์ ถ้าพิมพ์ขอบเตี้ย ๆ แบบอเมริกา อบ 25-30 นาที ถ้าพิมพ์แบบเมืองไทยขอบสูง ๆ ก็ อบประมาณ 45 - 50 นาที หรือดูว่าหน้าเค้กเป็นสีเหลืองสวย ก็ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มดู ถ้าไม่มีเศษแป้งติดขึ้นมาก็เป็นอันว่าสุกแล้วค่ะ
8. เวลาผ่านไปตามกำหนด ดูสีของเค้กว่าเหลืองดีหรือยัง ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มดู ถ้าไม่มีเศษแป้งติดไม้ขึ้นมาก็สุกแล้ว
9. เอาเค้กออกจากเตาอบ วางพักบนตะแกรงสัก10 นาที ให้เค้กอยู่ตัว แล้วจึงใช้มีดแซะตรงขอบคว่ำเค้กออกจากพิมพ์ พักเค้กให้เย็น ระหว่างนี้ก็ไปทำซ้อส พอเค้กเย็นแล้วก็ปัดฝุ่นทำความสะอาด ปาดส่วนเกินออกไป ลอกเอาเปลือกส่วนที่เป็นสีน้ำตาลออกไป
- สตรอเบอร์รี่สด หรือแช่แข็ง 300 กรัม (ล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่งหรือไม่ผ่าก็ได้แล้วแต่ชอบ)
- น้ำตาลทราย 100 กรัม
- น้ำส้ม หรือน้ำแครนเบอร์รี่ 1/4 ถ้วย
- เกลือ 1/8 ช้อนชา
ผสมทุกอย่างลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ เปิดไฟกลาง ปล่อยให้ส่วนผสมเดือด คนส่วนผสมให้เข้ากันดี พอส่วนผสมข้นก็ยกลงจากเตาได้ ถ้าหากใครต้องการส่วนผสมข้นมาก ๆ สามารถเติมแป้งสาสีหรือแป้งข้าวโพดผสมน้ำใส่ลงไปได้ ถ้าหากจะเติมแป้ง ใช้แป้งประมาณ 1 ช้อนชาก็พอ จริง ๆ ส่วนผสมซ้อสก็ข้นดีแล้ว ซ้อสที่ได้ สตรอเบอร์รี่ไม่เละเกินไป ถ้าน้ำเยอะเกินไปกรองด้วยกระชอน แต่เก็บน้ำซ้อสไว้ด้วยนะคะ จะได้ราดตอนที่เราตัดเค้กเสิร์ฟอีกที ขั้นตอนต่อไป ก็แต่งเค้ก โปะครีมลงไป ครีมที่ใช้ตอนนี้เป็นวิปครีมที่ตีเอง แล้วตอนโปะทั้งก้อน จึงใช้ครีมสำเร็จ วิปครีมสำเร็จรูปขนาด 1 ปอนด์
ถ้าใครหาซื้อแบบสำเร็จไม่ได้ให้ใช้สูตรนี้ วิปครีมจะอยู่ตัวดีปาดแล้วไม่ไหลย้อย
เวลาทำก็ให้ผสมเจลาตินกับน้ำเย็นก่อนจนพอง แล้วก็เอาถ้วยเจลาตินไปวางในหม้อน้ำร้อนให้เจลาตินละลาย พักไว้ให้เย็นอุณหภูมิห้อง จากนั้นก็ตีวิปครีมให้ขึ้นฟู ใส่น้ำตาลไอซิjงและวานิลาลงไปแล้วจึงค่อยๆเทเจลาตินที่ละลายแล้วลงไปในส่วนผสมวิปครีม นำไปปาดเค้กได้เลย ได้เค้กขนาดที่ทำ 1 ก้อน เอาเค้กอีกชั้นวางทับลงไป แล้วก็โปะครีม ปาดให้เรียบ ด้านหน้าบนเค้กปาดให้เรียบเสมอกัน แต่ไม่ต้องเรียบกริ๊บก็ได้ เดี๋ยวเราก็โปะซ้อสลงไปอีกชั้นหนึ่ง เอากระดาษไขปูรองไว้ด้วย เวลาปาดเค้กจะได้ไม่เลอะถาดรองเค้ก จากนั้นก็ใช้หัวบีบบีบเป็นลายตรงขอบเค้กก่อน พยายามไม่ให้มีรูโหว่นะคะเวลาเราโปะซ้อสจะได้ไม่ไหลลงด้านข้าง
ขอบคุณแหล่งที่มา http://food.thaibizcenter.com/fdetail.asp?ftipsid=9155
- วิปปิ้งครีม 3 ถ้วย
- เจลาติน 1 ช้อนโต๊ะ(ผสมน้ำเย็นตามข้างซอง)
- น้ำตาลไอซิ่ง 1/2 ถ้วย
- วานิลา 2 ช้อนชา
เวลาทำก็ให้ผสมเจลาตินกับน้ำเย็นก่อนจนพอง แล้วก็เอาถ้วยเจลาตินไปวางในหม้อน้ำร้อนให้เจลาตินละลาย พักไว้ให้เย็นอุณหภูมิห้อง จากนั้นก็ตีวิปครีมให้ขึ้นฟู ใส่น้ำตาลไอซิjงและวานิลาลงไปแล้วจึงค่อยๆเทเจลาตินที่ละลายแล้วลงไปในส่วนผสมวิปครีม นำไปปาดเค้กได้เลย ได้เค้กขนาดที่ทำ 1 ก้อน เอาเค้กอีกชั้นวางทับลงไป แล้วก็โปะครีม ปาดให้เรียบ ด้านหน้าบนเค้กปาดให้เรียบเสมอกัน แต่ไม่ต้องเรียบกริ๊บก็ได้ เดี๋ยวเราก็โปะซ้อสลงไปอีกชั้นหนึ่ง เอากระดาษไขปูรองไว้ด้วย เวลาปาดเค้กจะได้ไม่เลอะถาดรองเค้ก จากนั้นก็ใช้หัวบีบบีบเป็นลายตรงขอบเค้กก่อน พยายามไม่ให้มีรูโหว่นะคะเวลาเราโปะซ้อสจะได้ไม่ไหลลงด้านข้าง
ขอบคุณแหล่งที่มา http://food.thaibizcenter.com/fdetail.asp?ftipsid=9155
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น