วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

Video การทำขนมหวานอย่างง่าย ใช้เวลาน้อย


วัตถุประสงค์ในการทำขนมหวานอย่างง่าย


จากที่ผู้จัดทำเลือกทำ การจัดการองค์ความรู้ เรื่อง ขนมหวาน นั้น เกิดจากการที่สมาชิกทุกคนสามารถประกอบอาหารเกี่ยวกับขนมอย่างง่าย โดยใช้เวลาไม่มาก จึงเป็นเหตุผลในการเลือกทำเรื่อง ขนมหวาน เพราะสามารถดึงความรู้ความสามารถของสมาชิกทุกคนในกลุ่มออกมาได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการสอนทำขนม การผสมส่วนผสม การคัดเลือกวัตถุดิบ และรวมไปถึงการตกแต่งจานขนมอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นให้สมาชิกที่เหลือที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในบางเรื่องเกี่ยวกับการทำขนมหวานได้เป็นอย่างดี และสามารถนำความรู้ที่มีอยู่มาเผยแพร่ให้กับผู้ที่สนใจในเรื่องขนมหวาน

นอกจากจะมีขนมหวานที่สามารถประกอบได้โดยใช้ระยะเวลาไม่มากแล้วนั้น ทางผู้จัดทำได้นำเสนอขนมหวานทั้ง ขนมหวานนานาชาติและขนมหวานของไทย ซึ่งรวมไปถึงส่วนประกอบและขั้นตอนการทำ สำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องขนมหวานอีกด้วย

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

วัตถุประสงค์การทำ KM

1. เพื่อเป็นสื่อประกอบความรู้สำหรับผู้ที่สนใจในการทำขนมหวาน

2. เพื่อให้ผู้ที่เริ่มสนใจทำขนมหวานเข้าใจในการทำขนมหวานอย่างง่าย 

3. เพื่อให้ผู้ศึกษาและสนใจในการทำขนมทราบถึงแหล่งที่มาของขนมที่นำเสนอ

4. เพื่อศึกษาวัฒนธรรมและประเพณีแต่ละประเทศผ่านทางการทำขนมหวานในแต่ละเทศกาล

5. เพื่อศึกษาข้อเด่นและความแตกต่างของขนมแต่ละเชื้อชาติ 

ขนมหวาน


และ







ปัญหาภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน


1. สมาชิกในกลุ่มมีมากกว่า 2 คน จึงเป็นเรื่องปกติที่มีการเสนอความคิดและเนื้อหาที่ไม่ตรงกัน

2. สถานที่ในการประกอบอาหารไม่เอื้ออำนวยในบางรายการอาหาร

3. อุปกรณ์ในการประกอบอาหารไม่ตรงตามที่ต้องการ


ทิรามิสุ : Tiramisu [อิตาเลียน]



ที่มาของขนมทิรามิสุ

ทิรามิสุ (tiramisu) ขนมหวานสัญชาติอิตาเลียน กำลังเป็นที่นิยมในบ้านเรา ด้วยเนื้อขนมนุ่มเบาและ รสเฉพาะตัวของชีสมาสคาโปเน่ (Mascapone) กับวิปปิ้งครีมตัดกับรสเข้มของขนมปัง เลดี้ฟิงเกอร์ (Lady finger) ที่ชุ่มด้วยกาแฟดำ อร่อยอย่างลงตัวพอดิบพอดี




ส่วนผสมเนื้อครีม

  • ไข่ 3 ฟอง
  • วิปปิ้งครีม(Whipping cream) 1 1/4 ถ้วย
  • หรือเฟรชครีม (Fresh cream)
  • ชีสมาสคาโปเน่(mascapone cheese) 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ


ส่วนผสมชั้นกาแฟ

  • ขนมปังเลดี้ฟิงเกอร์ (Lady finger) 10 ชิ้น
  • กาแฟดำ 2 ถ้วยตวง
  • ผงโกโก้สำหรับโรยหน้า




วิธีทำ

ผสมครีมกับชีสมาสคาโปเน่แล้วตีให้ขึ้นฟู (ความเร็วปานกลางจนตั้งยอด) แช่เย็นไว้จนเย็นจัด
แยกไข่ขาวกับไข่แดง ผสมน้ำตาลทรายกับไข่แดงตีรวมกันจนเป็นครีมข้น แช่เย็นไว้
ตีไข่ขาวจนกระทั่งฟูตั้งยอด
นำส่วนผสมของชีส ไข่แดง และไข่ขาวที่แช่เย็นจัดมาเคล้ารวมกันเบาๆ จากนั้นนำไปแช่เย็นอีกครั้งประมาณ 30 นาที
นำขนมปังเลดี้ฟิงเกอร์ไปจุ่มในกาแฟดำให้ชุ่ม จัดใส่ในแก้วที่ชอบแล้วราดทับด้วยครีม สลับชั้นกันจนเต็มแก้ว โรยหน้าด้วยผงโกโก้

Tips

- ไข่ควรใช้ไข่สดใหม่ เพราะเมื่อตีแล้วจะขึ้นฟู

- กาแฟดำควรชงให้มีรสขมกว่าปกติเล็กน้อย เพราะจะตัดรสกับครีมได้ดียิ่งขึ้น

- ควรเสิร์ฟขณะที่เย็นจัด และอาจเสิร์ฟคู่กับขนมปังหรือผลไม้สด เช่น สตรอเบอรี่ ก็ได้




ขอบคุณแหล่งที่มา http://food.thaibizcenter.com/fdetail.asp?ftipsid=8686

วาฟเฟิล : Waffle [เบลเยี่ยม]



ที่มาและแหล่งกำเนิดของวาฟเฟิล

บรรพบุรุษของวาฟเฟิลเป็นอะไรมากไปกว่าเค้กธรรมดา

ที่ทำจากเยื่อซีเรียลของการเตรียมและปรุงอาหาร โดยชายของสมัยหินใหม่บนหินร้อน

เมื่อผิวหน้าของเค้กในการติดต่อกับหินได้ปิดทอง

ที่พวกเขาหันไปให้การทำอาหารหน้าอื่น ๆ

เมื่อใครบางคนมีความคิดเพื่อแทนที่หินโดยแผ่นเหล็ก, แพนเค้กเกิด

เมื่อใครบางคนพบว่าการทำอาหารจะไปได้รวดเร็วขึ้น

ด้วย 2 แผ่นเหล็กร้อนที่ทั้งสองฝ่ายในเวลาเดียวกัน

 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของวาฟเฟิลมันเป็นเวลานานมาแล้วและคำว่า"วาฟเฟิล"ยังไม่ได้อยู่

คำว่า"gaufre"(วาฟเฟิลในภาษาอังกฤษ) มาจาก"walfre"

ที่สิบสองศตวรรษ In old French,

ในภาษาฝรั่งเศสเก่า"wafel"หมายถึงในขณะนั้น"ชิ้นส่วนของน้ำผึ้ง (ผึ้ง) รัง"

มันเป็นเบเกอรี่กับพาสต้าแสงสุกระหว่างสองเตารีดความร้อน

ซึ่งพิมพ์วาดภาพในการบรรเทา
ขนมเค้กเหล่านี้มาผ่านศตวรรษจนสมัยกลาง

เราพบว่าขนมเค้กเหล่านี้กลับไปในศตวรรษที่สิบสามภายใต้ชื่อ"oublies"

หรือ"แพน d' juif"(ขนมปังจิว 's)
มันเฉพาะในศตวรรษที่สิบสาม วาฟเฟิลที่ปรากฏขึ้นเมื่อหนึ่ง Smith ดำคิดผลิตเหล็ก

ที่ดูคล้ายภาพวาดของ alveoli

ที่ทำโดยผึ้งชื่อของเบเกอรี่ที่ได้รับชื่อของ"วาฟเฟิล"

วาฟเฟิลเป็นหนึ่งในขนมที่เก่าแก่ที่สุด

ส่วนผสม

  • แป้งข้าวเจ้า 250 กรัม
  • แป้งสาลี 50 กรัม
  • น้ำตาลทราย 150 กรัม
  • ยีสต์ 1 ช้อนชา
  • น้ำอุ่น 200 กรัม
  • ไข่ 2 ฟอง
  • ผงฟู 1/2 ชช
  • กะทิ 125 มล.





วิธีทำ

นำแป้งข้าวเจ้าแป้งสาลีและยีสต์ มาร่อนผสมกัน 1 ครั้งใส่น้ำตาลทราย น้ำอุ่น ผสมกันในชาม ตีให้เข้ากัน ปิดด้วยพลาสติก นำเข้าตู้เย็นช่องธรรมดาทิ้งไว้ 1 คืนค่ะจากนั้นนำออกจากตู้เย็น จะเห็นได้ชัดว่าตัวแป้งจะเป็นฟองๆ ซึ่งเกิดจากการหมักยีสต์ทีนี้ก็ตอกไข่ใส่ลงไป ใส่ผงฟู กะทิ และข้าวโพด คนส่วนผสมรวมกัน คนๆให้เข้ากัน ส่วนผสมที่ได้จะเป็นฟองปุดๆ เหลวๆนำเครื่องทำวาฟเฟิลมาอุ่นให้ร้อนก่อน เอาเนยทาในเครื่องทำวาฟเฟิลนิดหน่อยเพื่อไม่ให้มันติดพิมพ์ เสร็จแล้วก็เอามาหยอดใส่พิมพ์ได้ รอจนสุกแซะออกจากพิมพ์จัดใส่จานทานร้อนๆ



ขอบคุณแหล่งที่มา   http://food.tonruk.com/view/17855.html

วนิลาพุดดิ้ง : Pudding Vanilla [อังกฤษ]




ต้นกำเนิด

ต้องขอย้อนไปเมื่อสมัย ศตวรรษที่ 15-16 ซึ่งเป็นสมัยที่คนเชื่อว่าโลกกลม ทำให้มีการออกสำรวจดินแดนใหม่สำหรับนักเดินทางยุคต้น ๆ ของศตวรรษ ในสมัยนั้นประเทศสเปนและอังกฤษซึ่งเป็นประเทศผู้นำในการเดินทางสำรวจและยึดครองดินแดนใหม่กันอย่างคับคั่ง ในช่วงนั้นประเทศอังกฤษสามารถเอาชนะและยึดครองดินแดนและชายฝั่งทะเลได้ถึง 7 แห่ง แต่ความราบรื่นนั้นย่อมแฝงไปด้วยความขมขื่นเสมอ

เรือรบของอังกฤษที่เข้าร่วมสงครามครอบครองดินแดนนั้นประสบปัญหาเกี่ยวกับปากท้องของลูกเรือขึ้น เพราะการออกเดินทางแต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาอยู่กับท้องทะเลนานหลายเดือน อาหารที่มีอยู่ก็ร่อยหรอ มิหนำซ้ำ บางครั้งอาหารที่ทำจะเหลือทิ้งไปเปล่าประโยชน์เพราะใช้ทานในวันต่อไปไม่ได้ก็ตาม จำเป็นต้องทิ้ง เหตุนั้นเอง พ่อครัวหัวใสจึงคิดเมนูที่สามารถทำแล้วถนอมอาหารไว้ทานได้เป็นเวลานาน โดยเค้าใช้ส่วนผสมง่าย ๆ คือ เศษขนมปัง แป้งสาลี และไข่ไก่ ผสมให้เข้ากัน จากนั้นก็ห่อด้วยผ้าสะอาด นำไปอบ เป็นอันเสร็จ ตรงกับ concept (ง่าย ๆ กินได้หลายวัน) และนั่นเองเป็นเหตุที่มาของตำนาน “พุดดิ้ง”

จากข้อมูลนั้นไม่ได้บอกอย่างละเอียดว่าทำไมพุดดิ้งถึงสามารถแพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไปได้ เพราะเจ้าของสูตรต้นตำรับเป็นพ่อครัวบนเรือ แต่จากการสันนิษฐานแล้ว คงจะเป็นเพราะรสชาติที่ถูกปาก และทานได้ง่าย ทำให้ลูกเรือติดอกติดใจ และจำสูตรนั้นไปบอกต่อให้กับคุณแม่บ้าน ปากต่อปาก อีกทั้งรสชาติยังเป็นที่นิยม ทำให้พุดดิ้ง แพร่หลายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จากเกียรติศัพท์ของความอร่อยและวิธีทำที่ไม่ซับซ้อนนี้เองพุดดิ้งจึงขยายความนิยมไปทางแถบเอเชียของเราและที่ประเทศญี่ปุ่น พุดดิ้ง ได้รับความสนใจในช่วงยุคสมัยเมจิ (พ.ศ.2411-2455) ถ้าหากเทียบกับสมัยของประเทศไทยแล้วก็คือ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นั่นเอง

ส่วนผสม
  • นมจืด 2 เปอร์เซ็นต์ (หรือเฮฟวี่ครีม หรือhalf & half) 2 ถ้วย
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • น้ำตาล 3/4ถ้วย (เพิ่มลดได้)
  • แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • วนิลา 1 ช้อนชา
  • เนยเย็นๆตัดเป็นก้อนเล็ก ๆ 2 ช้อนโต๊ะ



ขั้นตอนการทำ

1. เทนมทั้งหมดใส่ในหม้อสแตนเลส ใส่น้ำตาลลงไปยกขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อนคนให้น้ำตาลละลาย

2.ใส่น้ำตาลและเกลือลงไป ยกขึ้นตั้งไฟคนให้น้ำตาลละลายคนไปเรื่อย ๆ จนนมเริ่มอุ่น ไม่ต้องถึงกับเดือด

3.ระหว่างที่อุ่นนม ให้ตอกไข่ใส่อ่างผสม ใส่แป้งข้าวโพดลงไปใส่วนิลา คนส่วนผสมให้เข้ากัน พอนมเริ่มร้อน มีไอขึ้นก็ให้เทนมลงในอ่างผสมไข่ ค่อย ๆ เทช้า ๆ อีกมือก็ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมเร็ว ๆ เทพรวดทีเดียวเดี๋ยวไข่จะเป็นก้อนสุกซะก่อนค่อย ๆ เทนมลงไปในอ่างผสมไข่จนหมดแล้วก็เทกลับคืนใส่ในหม้อ คนให้เข้ากัน

4. ยกขึ้นตั้งบนเตา เปิดไฟอ่อนคนไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมข้นไฟในเตาต้องอ่อน ไม่งั้นเดี๋ยวส่วนผสมจะไม่เนียนสวยหรือถ้าจะให้เนียนมาก ๆ ใส่แต่ไข่แดงก็ได้ ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานิดนึง แต่ไม่นาน ใจเย็น ๆ ส่วนผสมจะได้เนียน ๆ เมื่อส่วนผสมเริ่มข้นใส่เนยเย็นที่เราตัดเป็นก้อนเล็ก ๆ ลงไป คนให้เนยละลาย

5. เมื่อส่วนผสมข้นดีแล้วก็เทใส่ภาชนะ จะกรองก่อนก็ได้ แล้วก็ใช้พลาสติกคลุมหน้าพุดดิ้ง แช่ตู้เย็นไว้ก่อนรับประทานหรือใครชอบทานร้อน ๆ ก็ตักใส่ถ้วยเล็ก ๆ รับประทานได้ทันที จะใช้ขนมปังจิ้มก็อร่อย


ขอบคุณแหล่งที่มา http://food.thaibizcenter.com/fdetail.asp?ftipsid=8969

สตรอเบอร์รี่ครีมเค้ก : Strawberry Cream Cake [เยอรมัน]


ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของเค้ก

จากการสำรวจข้อมูลทางประวัติศาสตร์แล้วพบว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับต้นกำเนิด

ของธรรมเนียมการใช้เค้กเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการฉลอง วันเกิดนั้นมี

ด้วยกันหลากหลายทฤษฎี บางคนเชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ในขณะที่บางคนเชื่อว่าเริ่มขึ้นในยุคกลาง (middle Ages)

ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อาหารเชื่อว่า เค้กวันเกิดมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัย

โบราณกาลแล้ว เนื่องจากคนสมัยก่อนชอบทำขนมอบจำพวกขนมเค้กและขนมปัง

เพื่อใช้บูชาในงาน พิธีกรรมทางศาสนา งานแต่งงาน งานศพ รวมถึงงานวันเกิดด้วย

ในเวลาต่อมา ชาวเมืองเบียร์[เยอรมัน]ก็เลยได้ไอเดียใหม่ๆ ทำเค้กเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่เด็กๆ

และจากนั้นมา ธรรมเนียมเช่นนี้ก็ถูกปฏิบัติสืบทอดต่อๆ กันมา จวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ 



ส่วนผสม

  • ไข่ไก่ขนาดใหญ่ 3 ฟอง แยกไข่แดง-ไข่ขาว
  • น้ำตาลทราย 1 1/3 ถ้วย (แบ่งเป็นสองส่วน 1 ถ้วย + 1/3 ถ้วย)
  • ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
  • แป้งสาลีเอนกประสงค์ all-purpose flour 200 กรัม
  • น้ำมันคาโนล่า 1/3 ถ้วย
  • นมสดจืด 3/4ถ้วย
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • วานิลา 1 ช้อนชา

ขั้นตอนการทำ

1. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ และน้ำตาลทราย 1 ถ้วย รวมกัน พักไว้ก่อน

2. แยกไข่แดงและไข่ขาวไว้ เอาไข่ขาวใส่อ่างผสมใบขนาดกลาง ๆ ไว้ ส่วนไข่แดง ให้ผสม น้ำมัน นมสด วานิลาคนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันพักไว้ก่อน

3. เทส่วนผสมไข่แดง(ส่วนผสมของเหลว) ลงในส่วนผสมแป้ง(ส่วนผสมของแห้ง) คนด้วยตะกร้อมือให้ส่วนผสมเข้ากันดี คนส่วนผสมแป้งและส่วนผสมของเหลวให้เข้ากัน ส่วนผสมที่ได้จะข้นเล็กน้อย พักไว้ก่อนแป๊บนึง

4. ตีไข่ขาวด้วยสปีดต่ำนับหนึ่งถึงห้าเร่งสปีดขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นสปีดแรงสุด (ใช้ตะกร้อไฟฟ้า) เมื่อไข่ขาวเป็นฟอง ให้ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไป ตีจนไข่ขาวขึ้นฟูตั้งยอดอ่อน

5. แบ่งไข่ขาวใส่ลงไปในอ่างแป้ง(ข้อ3) ใช้ตะกร้อมือตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน แบ่งไข่ขาวใส่ลงไปในอ่างผสมแป้ง+ไข่สองครั้ง ค่อย ๆ ตะล่อมเบา ๆ ให้ส่วนผสมเข้ากัน ใช้พายยางปาดของอ่างด้วย
6. เทส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์ 2 ใบ ใส่ลงไปประมาณครึ่งหนึ่งของพิมพ์ ก่อนนำเข้าเตาอบ กระแทกพิมพ์เบาๆสักสองทีเพื่อไล่ฟองอากาศ

7. นำเข้าเตาอบ อุณหภูมิ 350องศาฟาเรนไฮน์ ถ้าพิมพ์ขอบเตี้ย ๆ แบบอเมริกา อบ 25-30 นาที ถ้าพิมพ์แบบเมืองไทยขอบสูง ๆ ก็ อบประมาณ 45 - 50 นาที หรือดูว่าหน้าเค้กเป็นสีเหลืองสวย ก็ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มดู ถ้าไม่มีเศษแป้งติดขึ้นมาก็เป็นอันว่าสุกแล้วค่ะ

8. เวลาผ่านไปตามกำหนด ดูสีของเค้กว่าเหลืองดีหรือยัง ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มดู ถ้าไม่มีเศษแป้งติดไม้ขึ้นมาก็สุกแล้ว

9. เอาเค้กออกจากเตาอบ วางพักบนตะแกรงสัก10 นาที ให้เค้กอยู่ตัว แล้วจึงใช้มีดแซะตรงขอบคว่ำเค้กออกจากพิมพ์ พักเค้กให้เย็น ระหว่างนี้ก็ไปทำซ้อส พอเค้กเย็นแล้วก็ปัดฝุ่นทำความสะอาด ปาดส่วนเกินออกไป ลอกเอาเปลือกส่วนที่เป็นสีน้ำตาลออกไป


  1. สตรอเบอร์รี่สด หรือแช่แข็ง 300 กรัม (ล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่งหรือไม่ผ่าก็ได้แล้วแต่ชอบ)
  2. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  3. น้ำส้ม หรือน้ำแครนเบอร์รี่ 1/4 ถ้วย
  4. เกลือ 1/8 ช้อนชา

ผสมทุกอย่างลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ เปิดไฟกลาง ปล่อยให้ส่วนผสมเดือด คนส่วนผสมให้เข้ากันดี พอส่วนผสมข้นก็ยกลงจากเตาได้ ถ้าหากใครต้องการส่วนผสมข้นมาก ๆ สามารถเติมแป้งสาสีหรือแป้งข้าวโพดผสมน้ำใส่ลงไปได้ ถ้าหากจะเติมแป้ง ใช้แป้งประมาณ 1 ช้อนชาก็พอ จริง ๆ ส่วนผสมซ้อสก็ข้นดีแล้ว ซ้อสที่ได้ สตรอเบอร์รี่ไม่เละเกินไป ถ้าน้ำเยอะเกินไปกรองด้วยกระชอน แต่เก็บน้ำซ้อสไว้ด้วยนะคะ จะได้ราดตอนที่เราตัดเค้กเสิร์ฟอีกที ขั้นตอนต่อไป ก็แต่งเค้ก โปะครีมลงไป ครีมที่ใช้ตอนนี้เป็นวิปครีมที่ตีเอง แล้วตอนโปะทั้งก้อน จึงใช้ครีมสำเร็จ วิปครีมสำเร็จรูปขนาด 1 ปอนด์
ถ้าใครหาซื้อแบบสำเร็จไม่ได้ให้ใช้สูตรนี้ วิปครีมจะอยู่ตัวดีปาดแล้วไม่ไหลย้อย


  1. วิปปิ้งครีม 3 ถ้วย
  2. เจลาติน 1 ช้อนโต๊ะ(ผสมน้ำเย็นตามข้างซอง)
  3. น้ำตาลไอซิ่ง 1/2 ถ้วย
  4. วานิลา 2 ช้อนชา


เวลาทำก็ให้ผสมเจลาตินกับน้ำเย็นก่อนจนพอง แล้วก็เอาถ้วยเจลาตินไปวางในหม้อน้ำร้อนให้เจลาตินละลาย พักไว้ให้เย็นอุณหภูมิห้อง จากนั้นก็ตีวิปครีมให้ขึ้นฟู ใส่น้ำตาลไอซิjงและวานิลาลงไปแล้วจึงค่อยๆเทเจลาตินที่ละลายแล้วลงไปในส่วนผสมวิปครีม นำไปปาดเค้กได้เลย ได้เค้กขนาดที่ทำ 1 ก้อน เอาเค้กอีกชั้นวางทับลงไป แล้วก็โปะครีม ปาดให้เรียบ ด้านหน้าบนเค้กปาดให้เรียบเสมอกัน แต่ไม่ต้องเรียบกริ๊บก็ได้ เดี๋ยวเราก็โปะซ้อสลงไปอีกชั้นหนึ่ง เอากระดาษไขปูรองไว้ด้วย เวลาปาดเค้กจะได้ไม่เลอะถาดรองเค้ก จากนั้นก็ใช้หัวบีบบีบเป็นลายตรงขอบเค้กก่อน พยายามไม่ให้มีรูโหว่นะคะเวลาเราโปะซ้อสจะได้ไม่ไหลลงด้านข้าง


ขอบคุณแหล่งที่มา http://food.thaibizcenter.com/fdetail.asp?ftipsid=9155

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

อูซางิ มันจู : Usagi Manju [ญี่ปุ่น]


ส่วนผสมอาหาร
  1. ถั่วแดงกวน 300 กรัม
  2. แป้งเค็ก(ร่อน) 150 กรัม
  3. ผงฟู 2 ช้อนชา
  4. น้ำ 50 มิลลิกรัม
  5. น้ำตาล 50 กรัม
  6. โกโก เล็กน้อย

ที่มา

อูซางิ มันจู เป็นขนมสำหรับทานเล่นของคนญี่ปุ่น 

ใช้ในเทศกาลหลาย ๆ อาทิ เทศกาลวันขึ้นปีใหม่ เทศกาลวันเกิด เทศกาลวันเด็ก เป็นต้น 

เป็นที่โปรดปรานสำหรับเด็ก ๆ ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวยงามดึงดูดเด็กเป็นอย่างมาก 


วิธีทำอาหาร

1. ผสมน้ำกับน้ำตาลใส่แป้ง คนด้วยพายห้ามนวด ห่อถุงพลาสติกแช่ตู้เย็น 30 นาทีขึ้นไป
2. ปั้นถั่วแดงเป็นลูกไว้ 10 ลูก แบ่งแป้งที่ได้ออกอีก 10 ลูก
3. ห่อใส่ถั่วแดงให้ครบทุกลูก นำไปอบ 170 C 12 นาที โดยประมาณ ผสมผงโกโก้กับน้ำเล็กน้อย แต้มทีหูและตา



ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.dumenu.com/recipe/600/

กล้วยบวดชี [ขนมไทยโบราณ]



ประวัติขนมกล้วยบวดชี

กล้วยบวดชี เป็นขนมหวานชนิดหนึ่งที่คนทั่วไปรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นขนมที่ดูเหมือน ธรรมดา แต่มีความเป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า มะพร้าวหรือน้ำกะทิเป็นวัตถุดิบที่คนไทยนำมาใช้ประกอบอาหาร ตั้งแต่สมัยโบราณจนปัจจุบัน หรือจะใช้กล้วยไข่ก็ได้ 
การทำกล้วยบวดชีเป็นตำรับสุขภาพที่ทุกคนกินได้


เครื่องปรุง + ส่วนผสม


* กล้วยน้ำว้า 8 ลูก (เลือกห่ามๆ ไม่สุกมาก)


* หัวกะทิ 450 มิลลิลิตร


* หางกะทิ 500 มิลลิลิตร


* ใบเตย 2 ใบ


* น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม


* น้ำตาลทรายขาว 40 กรัม


* เกลือ



วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำกล้วยไปนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 3-5 นาที หรือนึ่งจนกระทั่งผิวกล้วยเริ่มแตกออก จึงปิดไฟและนำออกมาปอกเปลือกและหั่นครึ่งลูก จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ


2. นำหางกะทิไปต้มในหม้อและใส่ใบเตยลงไปด้วย เมื่อเดือดแล้วจึงใส่กล้วยที่หั่นไว้แล้วลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลทรายขาวและเกลือนิดหน่อย


3. เมื่อกะทิเริ่มเดือดอีกครั้งจึงใส่หัวกะทิลงไป และปล่อยทิ้งไว้ให้เดือดอีกประมาณ 3 นาที ถ้าต้องการให้น้ำข้นเหนียวก็ให้ใส่แป้งมันลงไปประมาณ 1 ช้อนชาและคนให้ละลายทั่ว


4. อย่าต้มนานจนเกินไปเพราะจะทำให้กล้วยเละ กล้วยควรจะยังแข็งนิดหน่อย จากนั้นตักใส่จานและเสริฟทันที


ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/banana_in_coconut_milk_th.html



ขนมวุ้นมะพร้าวอ่อน [ขนมไทย]


เกร็ดความรู้จากขนมวุ้นมะพร้าวอ่อน

  • ถ้าได้มะพร้าวน้ำหอมจะดีมากแต่ค่อนข้างหายาก ขึ้นกับสายพันธุ์ของเค้า ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้มะพร้าวอ่อนธรรมดา
  • เลือกมะพร้าวให้อ่อน ๆ อย่าให้แข็งเป็นหนังหมู ขนมจะอร่อยมาก ๆ เนื้อวุ้นกับเนื้อมะพร้าวกลมกลืนกัน กินแล้วไม่เสียการสัมผัสว่ามะพร้าวทำไมแข็งจัง ไม่รับกันเลย แต่ถ้ามะพร้าวอ่อนจนเป็นเนื้อวุ้นใส ๆ แบบนั้นก็ไม่ค่อยเหมาะค่ะ มันเคี้ยวไม่ได้สัมผัส ลองสังเกตดูถ้ามะพร้าวอ่อนเนื้อจะบาง ถ้าแก่หน่อยเป็นหนังหมูเนื้อจะหนา ปริมาณมะพร้าวอ่อนเพิ่มลดตามปริมาณเนื้อมะพร้าวแต่ละลูก
  • การเลือกมะพร้าวคนขายจะใช้วิธีดีดเพื่อฟังเสียง โปร่ง ๆ คือเนื้อมะพร้าวอ่อน เนื้อมะพร้าวจะบางหน่อย แต่ถ้าทึบเนื้อมะพร้าวจะหนากว่า
  • อย่าลืมชิมน้ำมะพร้าวก่อนเทลงหม้อ บางลูกอาจมีรสเปรี้ยว ให้ตัดใจเทน้ำมะพร้าวนั้นทิ้งเสีย เพราะจะทำให้ขนมไม่อร่อย ถ้าเป็นเช่นนั้นใช้น้ำสะอาดแทน

เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* หัวกะทิ 200 กรัม


* วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ


* น้ำเปล่า 500 กรัม


* น้ำตาลทราย 150 กรัม


* เนื้อมะพร้าวอ่อน 50 กรัม


* น้ำมะพร้าวอ่อน 200 กรัม


วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำหัวกะทิใส่หม้อและนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ใส่เกลือลงไป คนให้ละลาย ปิดไฟทันที (อย่าให้กะทิแตกมัน)


2. ตั้งกระทะทองเหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) บนไฟร้อนปานกลาง ใส่น้ำเปล่าและวุ้นผง ลงไป รอจนเดือดใส่น้ำตาลทรายลงไป คนจนละลายจึงลดไฟลง


3. นำเนื้อมะพร้าวและน้ำมะพร้าวไปปั่นให้เข้ากัน แล้วใส่ลงในส่วนผสมวุ้น (ในข้อ 2) ใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวอีก สักพัก จึงใส่กะทิที่เตรียมไว้ในข้อหนึ่งลงไป คนให้เข้ากันเสร็จึงปิดไฟ (หมายเหตุ : น้ำมะพร้าวอ่อนต้องหวาน เพราะเมื่อนำไปผสมทำวุ้นแล้วจะทำให้รสชาตเเปรี้ยวเหมือนวุ้นเสีย ถ้าไม่มีน้ำมะพร้าวอ่อนหวานให้ใช้น้ำลอยดอกไม้แทน)


4. เทส่วนผสมวุ้นลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้หายร้อน จึงนำเข้าไปแช่ในตู้เย็น


5. เคาะวุ้นออกจากแบบ จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆ


ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Thai_dessert_kanom_woon_maprao_jelly_th.html

ขนมลอดช่อง [ขนมไทยโบราณ]



ความเป็นมาของลอดช่อง

ลอดช่อง.. .เป็นขนมไทยแท้โบราณชนิดดั้งเดิม โดยที่ใครๆพากันคิดว่ามันคือขนม 
ที่มาจากเกาะสิงคโปร์ 
ขนมที่มีกินกันทั่ว ทุกท้องถิ่นแผ่นดินสยาม ไม่ว่าจะในงานพิธีต่างๆ 
เช่น งานแต่ง, งานบวช, งานขึ้นบ้านใหม่ หรือแม้กระทั่งงานสวดศพ 
ถ้วยนี้...เดิมเรียกว่า “นกปล่อย” เพราะลักษณะเฉพาะของตัวลอดปรื๊ดออกมา 
คล้ายกับมูลหรือขี้นกที่ปล่อยถ่าย... 
และมาเรียกกันว่า ลอดช่อง เมื่อใดไม่มีบันทึกไว้ในสมุดข่อย 

+ ส่วนผสมตัวลอดช่อง +

* แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม


* แป้งเท้ายายม่อม 30 กรัม


* แป้งซ่าหริ่ม 20 กรัม


* น้ำปูนใส 450 กรัม


* น้ำใบเตย 250 กรัม


* น้ำแข็ง


+ ส่วนผสมน้ำกะทิ +


* น้ำกะทิ 250 กรัม


* น้ำตาลปึก 150 กรัม


* เกลือป่น 1/2 ช้อนชา


* เทียนอบ


+ เพิ่มเติม +


* เผือกนึ่ง, ข้าวเหนียวดำ, ขนุน อื่นๆ



วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ทำตัวลอดช่องโดยผสมแป้งข้าวเจ้า, แป้งเท้ายายม่อม, แป้งซ่าหริ่ม เข้าด้วยกัน หลังจากนั้นค่อยๆใส่น้ำ ปูนใสทีละน้อย ขณะเดียวกันก็นวดแป้งให้เข้ากันจนเนียนและเหนียว และค่อยๆใส่น้ำปูนใสจนหมด แล้วจึงใส่น้ำ ใบเตย แล้วนำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กวนจนแป้งเนียวและข้นจึงลดไฟลง กวนต่อจนแป้งสุก (แป้งจะมี ลักษณะข้นเหนียว)จึงปิดไฟ

2. เตรียมน้ำเย็นโดย นำน้ำแข็งไปละลายในน้ำจนน้ำเย็นจัด จากนั้นนำส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ในขั้นตอน ที่หนึ่งไปใส่ลงในพิมพ์ลอดช่อง ค่อยๆกดให้เป็นเส้นหย่อนลงไปในน้ำเย็นที่เตรียมไว้

3. ทำน้ำกะทิโดยนำน้ำตาลปึกผสมกับน้ำกะทิและเกลือป่น นำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆ คนจนน้ำตาลละลายดี จึงปิดไฟ และนำไปอบควันเทียนให้หอม

4. ตักเส้นลอดช่องใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำกะทิ และน้ำแข็งทุบ สามารถใส่เครื่องเพิ่มเติมได้ตามต้องการ (เผือกนึ่ง, ข้าวเหนียวดำ, อื่น) เสริฟได้ทันที


ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Thai_dessert_kanom_Lod_Chong_th.html

สังขยาฟักทอง [ขนมไทยและโปรตุเกส]


ที่มาขนมสังขยาฟักทอง

สังขยา เป็นขนมหวานของโปรตุเกส ที่ท้าวทองกีบม้า ชื่อจริงว่า ดอนญ่า มารี กีมาร์ เดอปิน่า (ดอนญ่า ในภาษาสเปนหรือโปรตุเกสแปลว่า คุณหญิง) หรือตองกีมาร์ (Tanquimar) เป็นผู้นำเข้ามาพร้อมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ที่ไม่ใช่ขนมไทยแท้ ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช สังขยา ก็คือคัสตาร์ด ของฝรั่ง เปลี่ยนนม เป็นกะทิ เพราะยุคนั้นในยุคอยุธยา ไม่มีนมสด คนไทยไม่กิน ส่วนพอมาเป็นสังขยาแบบไทยแล้วใครเอาไปใส่ฟักทอง

เครื่องปรุง + ส่วนผสม


* ฟักทอง 1 ลูก (น้ำหนักประมาณ 400 - 600 กรัม)

* ไข่่ 4 ฟอง

* หัวกะทิ 3/4 ถ้วยตวง

* น้ำตาลปิ๊บ 1/4 ถ้วยตวง

* แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ

* เกลือป่น 1/4 ช้่อนชา

* น้ำปูนใส



วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำฟักทองมาตัดออกเป็นสี่เหลี่ยมบริเวณหัวขั้วจากนั้นจึงขวักเมล็ดข้างในออก จนกลวงเป็นช่องภายใน จากนั้นจึงนำไปน้ำปูนใสประมาณ 8 - 10 นาที แล้วจึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ (เคล็ดลับ : แช่น้ำปูนใสเพื่อไม่ให้ฟักทองแตกเวลานึ่ง)

2. ระหว่างรอฟักทองที่แช่ในน้ำปูนใส เตรียมทำสังขยาโดยผสมไข่ไก่, หัวกะทิ , แป้งข้าวเจ้า, น้ำตาลปิ๊บ และเกลือ คนจนส่วนผสมเข้ากันดี

3. นำส่วนผสมสังขยาที่ทำในขั้นตอนที่สองเทลงในฟักทอง จากนั้นจึงนำไปนึ่งประมาณ 20 - 25 นาที กรณีเสริฟเป็นลูกฟักทอง ก็นำฝาที่ตัดออกไปนึ่งด้วย ถ้าแบ่งเสริฟก็หั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อความสวยงามและน่ารับประทาน เวลาหั่นควรระวังไม่ให้สังขยาเละ

ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Thai_pumpkin_custard_th.html

บัวลอย [ขนมไทย]


ประวัติขนมบัวลอย

"บัวลอย" เป็นขนมไทยที่คงไม่มีคนไทยคนไหนที่ยังไม่เคยทาน แป้ง กะทิ น้ำตาล 3 ส่วนประกอบหลักของขนมไทยแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหน


+ส่วนผสมบัวลอย+

* แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วยตวง

* เผือกนึ่งสุกบดละเอียด 1 ถ้วยตวง (กรณีต้องการบัวลอยหลายสีสามารถเลือกใช้ฟักทอง เพื่อทำบัวลอยสีเหลือง, ใบเตย เพื่อทำบัวลอยสีเขียว, อื่นๆ)

* น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง


+ส่วนผสมน้ำกะทิ+

* กะทิ 2 ถ้วยตวง

* น้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม

* น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง

* เกลือป่น 1 ช้อนชา

* เนื้อมะพร้าวอ่อน, ไข่ (จะมีหรือไม่มีก็ได้)

* งาขาว (สำหรับแต่งหน้า จะมีหรือไม่มีก็ได้)



วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ทำบัวลอยโดยผสมแป้งข้าวเหนียว, เผือกนึ่งและน้ำเปล่าเข้าด้วยกัน นวดจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงนำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ ระหว่างปั้นนั้น ควรโรยด้วยเศษแป้งข้าวเหนียวเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกบัวลอยติดกัน (ถ้าต้องการทำบัวลอยหลายสีก็ใช้ส่วนผสมเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นฟักทองสำหรับสีเหลือง หรือใบเตยสำหรับสีเขียว เป็นต้น)

2. ต้มน้ำในหม้อขนาดกลาง รอจนเดือดจึงใส่ลูกบัวลอยที่ปั้นไว้แล้ว เมื่อบัวลอยสุกให้นำออกมาแช่ในน้ำเย็น (บัวลอยที่สุกแล้วจะลอยขึ้น)

3. ทำน้ำกะทิโดยผสม กะทิ, น้ำตาลมะพร้าว, น้ำตาลทรายและเกลือป่นลงไป ควรใส่น้ำตาลทรายแค่ครึ่งเดียวก่อน ถ้ายังหวานไม่พอจึงค่อยใส่เพิ่มลงไป ต้มจนเดือด จึงหรี่ไฟลง นำบัวลอยที่ต้มไว้แล้วใส่ลงไปในน้ำกะทิ ต้มต่ออีกสักพักจึงปิดไฟ ถ้ามีมะพร้าวอ่อนก็ใส่ได้เลย พร้อมลูกบัวลอย (กรณีต้องการทำบัวลอยไข่หวาน ก็ตอกไข่ใส่ไปในหม้อหลังจากที่ใส่บัวลอยลงไป รอจนไข่สุกจึงปิดไฟ)

4. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยงาขาว เสริฟขณะร้อนหรือรอให้เย็นก็ได้

ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.ezythaicooking.com/thai_dessert_recipes.html

Sweety & Dessert





Crispy Banana by023 ♥ [ไทยและจีน]


ความรู้โดย : 53116940023 ปริญญา แสนสวะ  




ส่วนผสม

ส่วนผสม



วนิลาครีม
ตั้งนม น้ำตาล กลิ่นวนิลาในหม้อให้เดือด แล้วตามด้วยแป้งข้าวโพดกับไข่คนให้เข้ากัน เมื่อนมที่ตั้งเดือดแล้ว ตักใส่ลงไปในแป้งกับไข่ คนให้เข้ากัน แล้วค่อยใส่ลงไปในหม้อ คนไปเรื่อยๆจนนมข้นเป็นครีม ตักใส่ชามพักไว้ให้เย็น

ปอเปี๊ยะ

1. นำแผ่นปอเปี๊ยะมาวาง ทาด้วยวนิลาครีม ตัดกล้วยให้เป็น 4 ชิ้น แล้วนำมาวางบนแผ่นปอเปี๊ย 1 ชิ้น แล้วห่อ ใช้ไข่ทาเป็นกาวให้แป้งติดกัน ห่อให้สวยงามแล้วนำลงไปทอดจนเป็นสีเหลืองทอง
2. ทาวนิลาครีมบนจาน วางด้วยปอเปี๊ยะกล้วยที่ทอดแล้ว จะราดด้วยช็อกโกแลต หรือโรยไอซิ่งเสิร์ฟก็ได้


ห่อด้วยแป้งปอเปี๊ยะ



Fruity Fondue by 146 ♥ [ฝรั่งเศส]

ความรู้โดย : 53116940146 กรรณิการ์ ยืนยง

ก่อนอื่นมารู้จัก Dark Chocolate กันก่อน

Dark Chocolate หรือ ช็อกโกแลตแบบเข้มช็อกโกแลตประเภทที่มีประโยชน์เต็มไปด้วยฟลาโวนอยด์ ซึ่งป้องกันการเป็นโรคหัวใจและเบาหวาน เมื่อทานทีละน้อย

ฟองดู หรือ Fondre แปลว่า ทำให้ละลาย (ภาษาฝรั่งเศส)

แบ่งได้ 3 แบบ คือ


1. ฟองดูชีส (Fondue au Fromage) ที่นิยมกันมากๆ 
ออริจิแนว กันเลยก็ต้องเป็น 
Emmental Cheese (อ่านหรูๆ ว่าเอ็มมองตาล)
หรือไม่ก็ Gruyere (จะอ่าน กรูแยร์ หรือกูแย่ ก็แล้วแต่)
ซึ่งเป็นชีสประจำชาติของสวิสเค้าหล่ะ ผสมไวน์ จะหอมๆ มันๆ





2. ฟองดูน้ำมัน (Fondue Bourguignonne) อ่านไม่ออกน่านะ
จะนิยมทานกับพวกเนื้อๆ เน้นๆ โดยเอาน้ำมันใส่หม้อ
แล้วเสียบเนื้อกะปลายส้อม จิ้มลงไปในน้ำมัน เดือดๆ







3. ฟองดูช็อกโกแลต (Chocolate Fondue) อันนี้คงรู้จักกันดี
ก็นิยมทานกับขนมปังกรอบ (ครูตองค์) หรือพวกผลไม้ 


Dark Chocolate (ช็อกโกแลตแบบเข้ม)

ผลไม้สด



1. นำช็อกโกแลตหักเป็นชิ้น ๆ แล้วนำมาตุ๋นให้ละลายโดยใช้ไฟปานกลาง
2. เมื่อน้ำที่ใช้รองร้อนแล้วนั้น ให้ปิดเตา และคนให้ช็อกโกแลตละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
3. นำผลไม้ที่เตรียมไว้ จุ่มลงไป เสร็จแล้วนำไปแช่เย็นเพื่อให้ช็อกโกแลตแข็งตัวและติดกับผลไม้
4. จัดจานให้สวยงาม

Tips : ขณะตุ๋นช็อกโกแลตในตอนแรกจะใช้ไฟปานกลางในการตุ๋นเพื่อเร่งน้ำที่รองให้ร้อน จากนั้นปิดเตาแล้วใช้น้ำร้อนละลายช็อกโกแลตต่อไป ป้องกันการไหม้ของช็อกโกแลต